7.1 ค่าของขวัญ ค่าเลี้ยงรับรอง ค่าบริการต้อนรับ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.1.1 ค่าของขวัญ
บริษัทกำหนดขั้นตอนการควบคุมเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าของขวัญให้แก่บุคลากรของบริษัท บุคคล องค์กรเอกชน องค์กรของรัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนี้
• การให้ของขวัญ หรือของที่ระลึกตามประเพณีนิยมสามารถกระทำได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับมูลค่าของขวัญที่ให้ต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนด งดการให้ของขวัญ หากการให้ของขวัญมีอิทธิพลและผลประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ
• การให้ของขวัญหรือของที่ระลึกเนื่องในโอกาสสำคัญแก่ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ สามารถกระทำได้ตามมูลค่า สูงสุด 3,000 บาท (สามพันบาท) โดยผ่านการพิจารณาอนุมัติจากผู้อำนวยการสายงาน หรือกรรมการผู้จัดการผู้ใดผู้หนึ่งทุกครั้ง
• การให้ของขวัญหรือของที่ระลึกที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท (มูลค่าเกินสามพันบาท) ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการจัดซื้อ หรือการเบิกเงินตามอำนาจอนุมัติ และอำนาจดำเนินการของบริษัทอย่างเคร่งครัด โดยผ่านการอนุมัติจากผู้อำนวยการสายงาน และกรรมการผู้จัดการเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติ
• การให้ของขวัญ หรือของที่ระลึกตามประเพณีนิยมสามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขต ดังนี้
- ไม่เป็นการกระทำโดยเจตนา ตั้งใจ เพื่อครอบงำ ชักนำ หรือตอบแทนบุคคลใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบใด ๆ ผ่านการกระทำไม่เหมาะสม หรือเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างชัดเจนหรือแอบแฝง เพื่อให้ได้มาซึ่งการช่วยเหลือหรือผลประโยชน์
- เป็นการให้ในนามบริษัท ไม่ใช่ในนามของพนักงานหรือฝ่ายบริหาร
- ไม่เป็นของขวัญที่อยู่ในรูปของเงินสด หรือสิ่งเทียบเท่าเงินสด (เช่น บัตรของขวัญ หรือบัตรกำนัล) กรณีที่รับเป็นอาหาร ขนม หรือของสดให้นำส่งคืนฝ่ายนั้น ๆ เพื่อแจกจ่ายภายในหน่วยงาน
- เป็นการให้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตรุษจีน หรือปีใหม่ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปกติ
- การให้ของขวัญ หรือของที่ระลึกควรส่งมอบในรูปแบบที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร เช่น ปฏิทิน ไดอารี่ สินค้าแบรนด์บริษัท สินค้าที่ใช้เป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ของบริษัทและบริษัทในเครือ สินค้าโครงการหลวง โครงการในพระราชดำริ หรือสินค้าชุมชนในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท สินค้าเพื่อการกุศล เป็นต้น
- เป็นการให้อย่างเปิดเผย ไม่ปกปิด เป็นไปตามนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีมูลค่ามีความเหมาะสม และมอบให้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะ
• ห้ามมิให้บุคลากรของบริษัทรับของขวัญหรือของที่ระลึก อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่สามารถปฏิเสธ และจำเป็นต้องรับของขวัญหรือของที่ระลึกไว้ พนักงานต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามสายงานรับทราบ พร้อมนำส่งของขวัญ หรือของที่ระลึกดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาตามสายงาน เพื่อรวบรวมดำเนินการบริหารจัดการที่ถูกต้องต่อไป เช่น การรวบรวมนำไปบริจาคยังหน่วยงานหรือองค์กรการกุศลต่างๆ หรือเป็นของรางวัลให้แก่พนักงานตามความเหมาะสม
7.1.2 ค่าเลี้ยงรับรอง ค่าบริการต้อนรับ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงรับรองหรือบริการต้อนรับทางธุรกิจ (Hospitality) เช่น การเลี้ยงรับรองเป็นอาหารเครื่องดื่ม และการใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติทางธุรกิจ หรือเป็นจารีตทางการค้า สามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นการใช้จ่ายอย่างเหมาะสมตามนโยบายที่กำหนด และไม่ส่งผลกระทบด้านลบ หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อบริษัท ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการรับหรือเลี้ยงรับรองผู้ที่รับเลี้ยงหรือผู้ที่เป็นตัวแทนในการเลี้ยงรับรองห้ามรับหรือเลี้ยงตามประเด็นดังนี้
• การรับหรือเลี้ยงรับรองต้องเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทโดยไม่ขัดกับระเบียบข้อบังคับ คำสั่งนโยบายของบริษัท หรือขัดต่อกฎหมายทุกกรณี เพื่อสร้างอิทธิพลในการตัดสินใจทางธุรกิจ
• การรับหรือเลี้ยงรับรองต้องมีตัวแทนของบริษัทที่มีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงการบ่งบอกเป็นนัยว่าการรับหรือเลี้ยงรับรองดังกล่าวมีขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนวัตถุประสงค์ทางธุรกิจใดๆ แต่ควรจัดขึ้นเพียงเพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัท หรือเพื่อสร้างโอกาสในการทำความรู้จักลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
• การเลี้ยงรับรองต้องไม่เกี่ยวข้องหรือเข้าข่ายลามกอนาจาร ทุจริตหรือติดสินบน หรือสนับสนุนกิจกรรมการการเมือง หรือให้สินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานภาครัฐ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์องค์กร
• การเลี้ยงรับรองที่มีมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท (ห้าพันบาท) จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อำนวยการสายงาน หรือกรรมการผู้จัดการผู้ใดผู้หนึ่งทุกครั้ง
• การเลี้ยงรับรองที่มีมูลค่าเกิน 5,000 บาท (เกินห้าพันบาท) จะต้องต้องได้รับอนุมัติจากผู้อำนวยการสายงาน และกรรมการผู้จัดการทุกครั้ง
7.2 การบริจาคเพื่อการกุศล (Charitable Contribution, Donations And Aid Grants)
การบริจาคเพื่อการกุศล (Charitable Contribution, Donations And Aid Grant) ตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริจาคเพื่อการกุศลและดำเนินกิจกรรมด้านบริจาคในนามบริษัทหรือบริษัทในเครือให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับนโยบายและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ของบริษัท โดยการบริจาคนั้นต้องพิสูจน์ได้ว่ามีกิจกรรมตามโครงการเพื่อการกุศลดังกล่าวจริง และมีการดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้วัตถุประสงค์ของโครงการประสบผลสำเร็จ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริงหรือเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเพื่อการกุศลหรือการบริจาคเพื่อสังคม ห้ามบุคลากรของบริษัทบริจาคให้กับบุคคล นิติบุคคล องค์กร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือหน่วยงานอื่น ๆ ดังนี้
• สนับสนุนการเมือง พรรคการเมือง หรือกิจกรรมแอบแฝงทางการเมืองให้กับบุคคล นิติบุคคล องค์กร หรือ หน่วยงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือบริจาคให้กับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เพื่อเป็นการให้คุณให้โทษในการประกอบธุรกิจของบริษัท ยกเว้นกรณีการบริจาคเพื่อสาธารณกุศล
• มีเจตนาไม่สุจริตเพื่อหวังผลใดๆ แม้ว่าจะเป็นผลทางธุรกิจของบริษัทก็ตาม
• กรณีต้องบริจาคเงินหรือสิ่งของที่มีมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท (ห้าพันบาท) จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อำนวยการสายงาน หรือกรรมการผู้จัดการผู้ใดผู้หนึ่งทุกครั้ง
• กรณีต้องบริจาคเงินหรือสิ่งของที่มีมูลค่าเกิน 5,000 บาท (เกินห้าพันบาท) จะต้องต้องได้รับอนุมัติตามขั้นตอนจัดซื้อ หรือการเบิกเงินตามอำนาจอนุมัติ และอำนาจดำเนินการของบริษัทอย่างเคร่งครัด โดยผ่านการอนุมัติจากผู้อำนวยการสายงาน และกรรมการผู้จัดการทุกครั้ง
• การเบิกเงิน ผลิตภัณฑ์ หรือสิ่งของต้องปฏิบัติตามระเบียบของบริษัทอย่างเคร่งครัด
7.3 การสนับสนุน (Sponsorships)
เนื่องจากการสนับสนุนมีวัตถุประสงค์เพื่อธุรกิจ ตราสินค้า หรือชื่อเสียงของบริษัทซึ่งมีความเสี่ยงเนื่องจากเป็นการจ่ายเงินสำหรับการบริการหรือผลประโยชน์ที่ยากต่อการวัดผลและติดตาม เงินสนับสนุนยังอาจถูกเชื่อมโยงไปเกี่ยวกับการติดสินบน บริษัทจึงกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเงินสนับสนุน กระบวนการสอบทาน และรายละเอียดการควบคุมไว้ต่อไปนี้
• เงินสนับสนุนนั้นต้องพิสูจน์ได้ว่าผู้ขอเงินสนับสนุนได้ทำกิจกรรมตามโครงการดังกล่าวจริงและเป็นการดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้วัตถุประสงค์ของโครงการประสบผลสำเร็จ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง หรือเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR)
• เงินสนับสนุนนั้นต้องพิสูจน์ได้ว่าการให้เงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดที่สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้ เช่น การให้ที่พักและอาหาร เป็นต้น
• ในการเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน จะต้องจัดทำใบบันทึกคำขอ ระบุชื่อผู้รับเงินสนับสนุน วัตถุประสงค์ของการสนับสนุนพร้อมแนบเอกสารประกอบทั้งหมดเสนอให้ผู้มีอำนาจอนุมัติของบริษัทพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนจัดซื้อ หรือการเบิกเงินตามอำนาจอนุมัติ และอำนาจดำเนินการของบริษัทอย่างเคร่งครัด
7.4 การจ่ายค่าอํานวยความสะดวก (Facilitation Payment)
บริษัทกำหนดให้บุคลากรของบริษัทห้ามจ่ายค่าอํานวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่ากรณีใดๆ เนื่องจากการจ่ายค่าอํานวยความสะดวกที่จ่ายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความเสี่ยงสูงมากที่จะกลายเป็นการให้สินบน หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่มิชอบด้วยกฎหมาย
7.5 การช่วยเหลือทางการเมือง (Political Contributions)
บริษัทเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางการเมือง สนับสนุนการดำเนินการใดๆ ที่เป็นไปตามระบอบการปกครองในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทสนับสนุนให้บุคลากรของบริษัทยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย เข้าร่วมกิจกรรมตามสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่จะต้องไม่แอบอ้างความเป็นพนักงาน หรือนำทรัพย์สิน อุปกรณ์ เครื่องมือใดๆ ของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการใดๆ ในทางการเมือง
บริษัทจะไม่สนับสนุนทางการเงินหรือสิ่งของให้แก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือผู้สมัครรับเลือกทางการเมืองใดๆ ไปเพื่อเป็นการช่วยเหลือทางการเมืองโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้กับบริษัท
7.6 ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interests)
บริษัทได้กำหนดแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เพื่อมุ่งเน้นการกระทำที่ถูกต้อง โดยบุคลากรของบริษัทต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท และผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นสำคัญ ทั้งนี้ภายใต้กรอบความถูกต้องตามกฎหมาย และจริยธรรม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ทั้งภายนอกและภายในองค์กรที่อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจและการปฏิบัติงานในหน้าที่ โดยกำหนดให้บุคลากรของบริษัทที่เกี่ยวข้อง หรือมีส่วนได้เสียกับรายการที่พิจารณาต้องแจ้งให้บริษัททราบ เพื่อป้องกันรายการที่อาจเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ รายการที่เกี่ยวโยงกัน หรือรายการระหว่างกัน บริษัทจึงกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ กระบวนการสอบทาน และรายละเอียดการควบคุมไว้ดังต่อไปนี้
• กรรมการบริษัทและผู้บริหารต้องแจ้งให้บริษัททราบถึงความสัมพันธ์ หรือรายการเกี่ยวโยงในกิจการที่อาจ ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว เช่น การร่วมถือหุ้นในกิจการคู่แข่งของบริษัท การร่วมลงทุน หรือดำรงตำแหน่งกับคู่ค้าที่ประกอบธุรกิจกับบริษัท การทำธุรกิจหรือการให้บริการกับบริษัทโดยตรง หรือทำการผ่านผู้อื่น
• หลีกเลี่ยงการทำรายการที่เกี่ยวโยงกับบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน ตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกำหนดที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย ในกรณีที่จำเป็นต้องทำรายการนั้นให้มีการนําเสนอรายการที่เกี่ยวโยงกันต่อคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นก่อนเสนอขออนุมัติต่อคณะคณะกรรมการบริษัท ตามหลักกำกับดูแลกิจการที่ดี และหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์กำหนด
• บุคลากรของบริษัทต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัท และประมวลจริยธรรมทางธุรกิจของบริษัท (Code of Conduct) ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด เพื่อให้บริษัทเป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลความเข้าใจในการถือปฏิบัติของพนักงานทั่วทั้งบริษัท
• บุคลากรของบริษัทต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น โดยอาศัยข้อมูลอันเป็นความลับของบริษัทรวมไปถึงข้อมูลสำคัญของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตน
• บริษัทกําหนดให้กรรมการ และผู้บริหารที่มีส่วนได้เสียอย่างมีนัยสําคัญในลักษณะที่อาจทำให้ กรรมการ หรือผู้บริหารรายดังกล่าวไม่สามารถให้ความเห็นได้อย่างอิสระ และไม่มีส่วนในการพิจารณารายการที่ตนมีความขัดแย้งทาง
ผลประโยชน์ รวมถึงไม่มีอำนาจในการอนุมัติการเข้าทำรายการในวาระนั้น
นอกจากนี้บริษัทจัดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ หรือผู้สอบบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญอิสระแล้วแต่กรณี พิจารณาตรวจสอบและให้ความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของราคา และความเหมาะสมของการทำรายการ และจะทำการเปิดเผยรายการระหว่างกันดังกล่าวไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบ หรือสอบทานโดยผู้สอบบัญชีของบริษัทในแบบ 56-1 One Report / รายงานประจำปี
ให้ใช้แนวปฏิบัติเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interests) ตามนโยบายฉบับนี้ บังคับใช้กับนโยบายหรือแนวโน้มในการทำรายการระหว่างกันในอนาคต และนโยบายในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกันในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยอนุโลม
7.7 การจ้างพนักงานรัฐ (Revolving Door)
ในการจ้างพนักงานรัฐเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน หรือที่ปรึกษาของบริษัท บริษัทกำหนดให้ต้องมีกระบวนการคัดเลือก การอนุมัติการจ้าง การกำหนดค่าตอบแทนและกระบวนการควบคุม เพื่อให้มั่นใจว่าการจ้าง พนักงาน จะไม่ได้เป็นการตอบแทนการได้มาซึ่งประโยชน์ใดๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัท ทำลายภาพลักษณ์ด้านความน่าเชื่อถือและความซื่อตรงของการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน ดังนี้
• จ้างหรือแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ยังอยู่ในตำแหน่งหากไม่ขัดต่อกฎหมาย หรือระเบียบและข้อบังคับของหน่วยงานรัฐที่บุคคลดังกล่าวสังกัด รวมถึงไม่เกิดความขัดแย้งของผลประโยชน์ระหว่างบริษัทกับหน่วยงานรัฐ และบุคคลดังกล่าวมิได้มีการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทหรือผลประโยชน์ต่างตอบแทน ทั้งนี้ รวมถึงรัฐวิสาหกิจที่มีข้อกําหนด จากหน่วยงานจัดตั้งให้สามารถมีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐเข้ามาปฏิบัติงานในองค์กรได้
• กำหนดระยะเวลาเว้นวรรค (cooling-off period) เป็นเวลา 2 ปี สำหรับการแต่งตั้งอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ออกจากตำแหน่ง หรือบุคคลที่เคยทำงานให้กับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทโดยตรงเว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการบริหารกิจการของบริษัท และบุคคลดังกล่าวมิได้มีการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทหรือผลประโยชน์ต่างตอบแทน
• การสรรหาบุคคลที่เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อแต่งตั้งหรือว่าจ้างเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ผู้บริหาร หรือพนักงานของบริษัท จะกระทำได้เมื่อดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบ (Due Diligence) ประวัติการทำงานและการดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐของบุคคลดังกล่าว เพื่อพิจารณาเรื่องความขัดแย้งของผลประโยชน์ระหว่างบริษัทกับหน่วยงานรัฐ
• การแต่งตั้งหรือว่าจ้างบุคคลที่พ้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ผู้บริหาร หรือพนักงานของบริษัท จะกระทำได้เมื่อการแต่งตั้งหรือว่าจ้างนั้นไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายหรือระเบียบและข้อบังคับของหน่วยงานรัฐที่บุคคลดังกล่าวเคยสังกัด
บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลการดำรงตำแหน่งและประสบการณ์การทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐของกรรมการที่ปรึกษา หรือผู้บริหารของบริษัททั้งข้อมูลในอดีตและปัจจุบันในเอกสารเผยแพร่ของบริษัท เช่น แบบ 56-1 One Report / รายงานประจำปี
7.8 การจัดซื้อ/จัดจ้าง
การดำเนินการจัดซื้อ/จัดจ้าง ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ หรือ ขั้นตอนที่บริษัทกำหนดไว้ในระเบียบการจัดซื้อ/จัดจ้าง และสอดคล้องกับอำนาจอนุมัติและอำนาจดำเนินการ มีความเป็นธรรมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ ต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผล ด้านราคา คุณภาพ และบริการที่ได้รับรวมทั้งคำนึงถึงมาตรฐานต่างๆ ที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการพึงมี เช่น มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มาตรฐานอุตสาหกรรม เป็นต้น
ทั้งนี้ การดำเนินการจัดซื้อ/จัดจ้างต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ปฏิบัติ ตามนโยบายและระเบียบการ จัดซื้อจัดจ้างของบริษัทและเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน
7.9 การซื้อขายหลักทรัพย์ และการใช้ข้อมูลภายใน
การจัดทำ เก็บรักษา หรือเปิดเผยข้อมูลภายในต้องดำเนินการอย่างเหมาะสม และถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมาย โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียโดยรวม ไม่นำข้อมูลภายในอันเป็นข้อมูลในการดำเนินการและบริหารกิจการที่ตนล่วงรู้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ของตนไปใช้แสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือบุคคลอื่นโดยมิชอบกรรมการและผู้บริหารควรหลีกเลี่ยงการซื้อ หรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ภายในระยะเวลา 30 วัน(สามสิบวัน) ล่วงหน้าก่อนการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน และควรรอไปอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง (ยี่สิบสี่ชั่วโมง) ภายหลังการเปิดเผยข้อมูลให้แก่สาธารณะแล้ว
กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ต้องไม่เปิดเผยข้อมูลที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ และไม่ซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ เมื่อทราบข้อมูลที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
7.10 การตรวจสอบทางบัญชี และการจัดเก็บรักษาข้อมูล
บริษัทมีกระบวนการตรวจสอบบัญชี และการจัดเก็บรักษาข้อมูล เพื่อสนับสนุนนโยบายให้เกิดประสิทธิภาพ และป้องกันมิให้มีการทุจริต หรือการคอร์รัปชันทุกรูปแบบ โดยมีแนวปฏิบัติดังนี้
• บริษัทมีกระบวนการตรวจสอบรายการทางบัญชี มีการอนุมัติอย่างเหมาะสมก่อนบันทึกรายการเข้าระบบบัญชี โดยจะตรวจสอบนโยบายต่างๆ ของบริษัท กฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง สัญญาหรือข้อตกลง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและนโยบายการบัญชีอย่างเหมาะสม
• ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายการลงทุน ต้องมีหลักฐานประกอบอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต้องได้รับการอนุมัติตามตามอำนาจอนุมัติ และอำนาจดำเนินการของบริษัทที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
• รายงานทางการเงินจะต้องจัดทำอย่างถูกต้อง เป็นจริง และเชื่อถือได้ และต้องเปิดเผยข้อมูลที่มีสาระสำคัญ อย่างถูกต้องครบถ้วน รวมถึงข้อมูลรายการระหว่างกัน และหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้น
• บริษัทมีการควบคุมการจัดเก็บเอกสารบัญชีอย่างเพียงพอและปลอดภัย เพื่อใช้ในการตรวจสอบได้ทันที มีการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลทางบัญชี และมีการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลสำรองอย่างปลอดภัย